โชคดีแล้วที่ยังมีงานทำ

วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในยุโรปและกำลังแพร่เชื้อระบาดขยายวงต่อไปทีละประเทศในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมย่ำแย่เท่านั้น ประชาชนในแต่ละประเทศก็ได้รับผลกระทบโดยตรงด้วยเช่นกัน เมื่อบริษัทห้างร้านเลิกกิจการหรือลดค่าใช้จ่ายก็ย่อมแน่นอนว่า บรรดาพนักงานก็ต้องโดนเลิกจ้างตามมา แล้วก็ต่อเนื่องไปถึงเหล่าบัณฑิตจบใหม่ทั้งหลายที่จะหางานทำได้ยากขึ้น (สถานการณ์ที่ว่ามานี้เคยเกิดขึ้นในบ้านเรามาแล้วเมื่อครั้งวิกฤติต้มยำกุ้ง)

หน่วยงานสากลที่ชื่อ International Labor Organization ประเมินว่า ในปัจจุบันมีคนรุ่นหนุ่มสาวในวัยระหว่าง 15 – 24 ปีที่ไม่มีงานทำอยู่ถึง 75 ล้านคนทั่วโลก ในขณะที่มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องทำงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสาขาที่ร่ำเรียนมาเลย หรือกระทั่งยอมทำงานที่ใช้วุฒิต่ำกว่าระดับการศึกษาของตัวเอง

สำนักข่าว Reuters ได้มอบหมายให้ช่างภาพไปถ่ายรูปคนหนุ่มสาวที่เข้าข่ายอย่างที่ว่า มานำเสนอ ตัวอย่างเช่น

สาวคนนี้ชื่อว่า Tania Leon อายุ 29 ปี อยู่ที่ประเทศสเปน เธอจบปริญญาตรีด้านจิตวิทยาจาก University of Santiago de Compostela ในปี 2006 ตั้งใจจะทำงานเป็นนักจิตวิทยาแต่ต้องมาทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนรถโดยสารมา 2 ปีแล้ว (เครดิตภาพจาก Reuters/Miguel Vidal)

หรือคนนี้

Manolis Ouranos อายุ 30 ปี อยู่ที่กรีซ จบด้านวิศวกรรมโยธา จาก Athens Technology University  แต่จบแล้วหางานทำไม่ได้ ต้องมาเป็นพ่อครัวในร้านอาหารไปพลางๆ ก่อน (เครดิตภาพ Reuters/Yannis Behrakis)

สำหรับภาพคนอื่นๆ ดูเพิ่มเติมได้จากที่นี่

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า งานที่ทำมันเซ็งเฮงซวยเหลือเกิน นึกถึงพวกเขา (และเธอ) เหล่านี้เอาไว้นะครับ…

Tokyo ครองอันดับเมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดสำหรับชาวต่างชาติ

Mercer บริษัทที่ปรึกษาจากสหรัฐฯ ทำการสำรวจและจัดอันดับเมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดสำหรับชาวต่างชาติที่มาทำงาน ซึ่งการสำรวจครั้งล่าสุดระบุว่า เมืองที่ครองแชมป์ในปีนี้ได้แก่ Tokyo ประเทศญี่ปุ่น โดยแซงหน้า Luanda ประเทศอังโกลา แชมป์เก่าที่ตกมาอยู่อันดับสอง

Tokyo ประเทศญี่ปุ่น

ที่น่าสนใจก็คือ ใน 10 อันดับแรกมีเมืองของญี่ปุ่นติดอยู่ถึง 3 อันดับด้วยกัน นอกจาก Tokyo แล้วก็มี Osaka ที่ติดอันดับ 3 และ Nagoya อันดับที่ 10

การสำรวจนี้จะทำการพิจารณา 214 เมืองจากปัจจัยต่างๆ กว่า 200 รายการ เช่น ค่าที่พักอาศัย การเดินทาง อาหาร เสื้อผ้า และราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น โดยจะใช้ค่าครองชีพของ New York เป็นตัวเปรียบเทียบ

สำหรับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุด 10 อันดับแรกในปีนี้ ได้แก่ 1.Tokyo ญี่ปุ่น 2.Luanda อังโกลา 3.Osaka ญี่ปุ่น 4.Moscow รัสเซีย 5.Geneva สวิตเซอร์แลนด์ 6.Zurich สวิตเซอร์แลนด์ 6.สิงคโปร์ (อันดับ 6 มี 2 เมือง) 8.N’Djamena ชาด 9.ฮ่องกง 10.Nogoya ญี่ปุ่น

ส่วนเมืองที่มีค่าครองชีพต่ำที่สุดในปีนี้ (และปีที่แล้ว) คือ Karachi ประเทศปากีสถาน ส่วนอันดับสอง ได้แก่ Islamabad ปากีสถาน เช่นกัน

สำหรับ New York ที่เป็นเมืองเปรียบเทียบ ปีนี้อยู่ที่อันดับ 33 ส่วนกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรของเราไม่ติด 50 อันดับแรกนะครับ

BOI เผยยอดขอลงทุนจากต่างประเทศ 5 เดือนขยายตัว 45%

อรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) ช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ว่า นักลงทุนต่างชาติยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน โดยมีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 547 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 205,646 ล้านบาท จำนวนโครงการขยายตัว 26% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มี 432 โครงการ ในขณะที่เงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้น 45% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 141,396 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยยังเป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญในสายตานักลงทุน

โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจสูงสุดอยู่ในกลุ่ม ผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง 176 โครงการ เงินลงทุน 62,479 ล้านบาท รองลงมาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า 116 โครงการ เงินลงทุน 55,736 ล้านบาท ตามด้วย กิจการบริการและสาธารณูโภค 106 โครงการ เงินลงทุน 24,409 ล้านบาท และกิจการเคมีภัณฑ์ กระดาษ และพลาสติก 73 โครงการ เงินลงทุน 24,306 ล้านบาท

หากจำแนกเป็นประเทศจะพบว่า ประเทศที่มีมูลค่าเงินลงทุนในประเทศไทยสูงสุดในช่วง 5 เดือนยังเป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น มีจำนวนทั้งสิ้น 308 โครงการ เงินลงทุน 130,462 ล้านบาท รองมาเป็นนักลงทุนจากเนเธอร์แลนด์ 16 โครงการ เงินลงทุน 11,570 ล้านบาท ตามด้วย นักลงทุนจากมาเลเซีย 16 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 11,344 ล้านบาท นักลงทุนจากสิงคโปร์ 53 โครงการ เงินลงทุน 11,285 ล้านบาท และนักลงทุนจากสหรัฐฯ 18 โครงการ เงินลงทุนรวม 9,131 ล้านบาท

ผลสำรวจเผยลูกจ้างในไทยเหนื่อยหน่ายกับงานและอยากเปลี่ยนงาน

Kelly Services บริษัทจัดหางานชั้นนำระดับโลก เปิดเผยผลการสำรวจที่ชื่อ Acquisition and Retention in the War for Talent ครั้งล่าสุดว่า ลูกจ้างจำนวนมากในประเทศไทยรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการทำงาน โดยเกือบครึ่งหนึ่งคิดอยู่บ่อยครั้งว่าจะลาออกจากงาน และเกือบสองในสามของผู้ตอบแบบสอบถาม (65%) เปิดเผยว่า ตั้งใจจะหางานทำกับบริษัทใหม่ภายในปีหน้า
          “พนักงานจำนวนมากเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยหน่ายเมื่อคิดถึงเป้าหมายการทำงานในอนาคต หากนายจ้างไม่มอบหมายงานที่มีความสำคัญและไม่ให้โอกาสได้เติบโต พนักงานจำนวนมากก็พร้อมเปลี่ยนงานตลอดเวลาเพื่อประโยชน์ของตนเอง” วรรณา อัศวการินทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เคลลี่ เซอร์วิสเซส ประเทศไทย กล่าว
          ข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของผลสำรวจดัชนีแรงงานโลกของเคลลี่ (Kelly Global Workforce Index: KGWI) ซึ่งเป็นการสำรวจประจำปีที่จัดทำโดย Kelly Services โดยมีการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานเกือบ 170,000 คนใน 30 ประเทศ
          การสำรวจนี้เป็นการพิจารณาปัจจัยที่ลูกจ้างใช้ประเมินนายจ้างที่ต้องการ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกงาน และการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการตัดสินใจเรื่องงาน
          ผลสำรวจในประเทศไทยชี้ว่า ประชากรกลุ่ม Gen X (อายุ 31 – 48ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานหลัก มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนนายจ้างมากที่สุด โดย 68% ของกลุ่มนี้วางแผนว่าจะเปลี่ยนงานในปีหน้า เทียบกับ 62% ทั้งในประชากรกลุ่ม Gen Y (อายุ 19 – 30 ปี) และประชากรกลุ่ม Baby Boomers (อายุ 49 – 66 ปี)
           อย่างไรก็ตาม แม้จะมีสัญญาณบ่งบอกถึงความเหนื่อยหน่ายในหน้าที่การงาน แต่ผู้ตอบแบบสอบถาม 60%เปิดเผยว่ายังมีความสุขกับงานที่ทำและเกือบสามในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถาม (71%) กล่าวว่า งานที่ทำอยู่ในปัจจุบันทำให้รู้สึกว่าตัวเอง “มีค่า” ขณะที่ 76% ระบุว่า ความสามารถในการ “ยกระดับหรือพัฒนาตนเอง” เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้รู้สึกมีค่า
          อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (70%) ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการตัดสินใจเรื่องงานหรือการจ้างงาน
          “เห็นได้ชัดว่าหลายคนไม่มีความสุขกับงานที่ทำและพยายามหางานใหม่ ขณะที่อีกหลายคนพอใจกับงานพอสมควรแต่ก็พยายามหางานใหม่ที่มั่นคงและมีความหมายกว่าเดิม และพร้อมเดินออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถให้สิ่งที่พวกเขาต้องการได้” วรรณา อัศวการินทร์ กล่าว
           ทั้งนี้ Kelly Services Inc.เป็นบริษัทจัดหางานชั้นนำระดับโลก นำเสนอบริการให้คำปรึกษาและจัดจ้างพนักงานที่หลากหลายและครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการจัดจ้างพนักงานชั่วคราว พนักงานชั่วคราวที่มีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นพนักงานประจำ และพนักงานประจำ Kelly ให้บริการแก่ลูกค้าทั่วโลกด้วยการจัดหางานให้พนักงานกว่า 550,000 คนต่อปี บริษัทมีรายได้ 5.6พันล้านดอลลาร์ในปี 2554